วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มิคสัญญี


3.ยุคมิคสัญญี



ผู้รู้ยิ่งเมื่อเห็นยิ่งเข้าใจก็ยังเป็นผู้รู้ต่อไปต่างกับผู้ไม่รู้ยิ่งเมื่อเห็นยิ่งไม่เข้าใจก็จะยังเป็นผู้ไม่รู้อยู่นี่คือข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกพัฒนา เป็นคู่ความขัดแย้งที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับมีผู้ชายต้องมีผู้หญิง

แม้สังคมจะก้าวทันยุคศิวิไลย์แล้วก็ตาม  มีความเป็นเอกภาพในด้านความเชื่อเรื่องศีลธรรมและจิตวิญญาณตรงกัน แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในการนำพามวลมนุษย์ในระบอบธรรมธิปไตยช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ผู้คนบนโลกได้ดื่มด่ำความสะดวกสบาย สมบูรณ์พูนสุขกันถ้วนหน้าตามสถานะของตนเอง เป็นอานิสงฆ์ผลบุญที่เคยได้ร่วมสร้างกับเหล่าผู้มีบุญทั้งหลายที่แห่กันมาเกิดเพื่อสร้างสมบารีของพวกเขา และในเวลาเดียวกันพวกที่พึ่งจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแรกก็เพิ่มพูนพัฒนาความไม่รู้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

ความสะดวกสบายจากวิทยาการเทคโนโลยีขั้นสูงล้ำที่มนุษย์ได้คิดค้นต่อยอดประดิษฐ์สร้างสรรค์เพื่อทำงานแทนมนุษย์ กลับกลายเป็นโทษในเวลาต่อมาเช่นเดียวกัน มนุษย์จะค่อยห่างเหินจากธรรมชาติ      ไม่รู้จักแม้จนกระทั่งตัวเอง ไม่รู้จักดินโคลน   ต้นไม้และสัตว์ร่วมโลกพันธุ์อื่น ๆ    พวกเขาค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเพราะปรับตัวไม่ได้กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง    มนุษย์เองจะฉลาดขึ้นในทางวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อนสามารถค้นหาคำตอบแม้โจทย์ที่มีตัวเลขหลายชั้นได้อย่างรวดเร็ว      แต่ด้านสังคมกลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว อวัยวะหรือชิ้นส่วนของร่างกายส่วนที่ไม่ได้ใช้จะเริ่มหดหายไป  ตัวอย่างเช่นฟันอาจจะเหลือไม่กี่ซี่เพราะอาหารที่รับประทาน มีคุณค่าให้ประโยชน์ต่อร่างกายครบอาจจะบรรจุเป็นเพียงแคปซูนหรือเป็นห่อเล็ก ๆ เท่าถุงชาชงสำเร็จ    ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ฟันเคี้ยว  มนุษย์รุ่นต่อ ๆ มาฟันซี่ไม่ได้ใช้จะไม่งอกมาอีกเพราะไม่มีความจำเป็น   ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะแก้ปัญหาปลายเหตุได้ทุกอย่าง    จนกระทั่งคุณค่าของมนุษย์เท่าเทียมกับสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง  คำว่ามนุษยธรรมและศีลธรรมก็จะเริ่มเลือนลางหายไปกับสภาพแวดล้อมของสังคมเทคโนโลยี  ธรรมไม่เป็นอำนาจอีกต่อไป  ความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดสำคัญลำดับแรก  ผู้มีอำนาจคือผู้ที่ถูกต้องและเป็นผู้ชนะจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง  การต่อสู้กันครั้งสุดท้ายด้วยสมรรถนะจากสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาจะทำลายกันเองแทบจะหมดเผ่าพันธุ์  แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีมนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่งมองเห็นหายนะอยู่เบื้องหน้าได้ตระเตรียมหาทางรอด จะพากันหลบหนีเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง  ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลายเริ่มต้นแย่งชิงอำนาจกันเพื่อยึดครองทรัพยากรเหลือน้อยเต็มที  และไม่สามารถประนีประนอมกันได้อีก เวลานั้นเองก็สิ้นสุดยุคศิวิไลย์เข้าสู่ยุคมิคสัญญี 

ในปีพ.ศ. 5000  หรืออีก 2450 ปี    สังคมโลกตกอยู่ในยุคมิคสัญญี      พฤติกรรมของมนุษย์ไม่แตกต่างกับนิสัยดิบ ๆ ของสัตว์เท่าใดนัก    พวกเขาที่เหลือรอดตายจากสงคราม  และสภาวะต่อเนื่องเช่นอดอาหาร  น้ำ  และโรคระบาดเป็นต้น   ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเริ่มต้นไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก    วิทยาการเทคโนโลยีล้วนถูกทำลายไปหมดพร้อม ๆ กับมนุษย์ผู้รู้สร้าง  และจะไม่กลับลงมาริเริ่มอีกในกาลยุคหลังจากนี้

ไม่มีความคิดเห็น: