3.ยุคมิคสัญญี
ผู้รู้ยิ่งเมื่อเห็นยิ่งเข้าใจก็ยังเป็นผู้รู้ต่อไปต่างกับผู้ไม่รู้ยิ่งเมื่อเห็นยิ่งไม่เข้าใจก็จะยังเป็นผู้ไม่รู้อยู่นี่คือข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกพัฒนา
เป็นคู่ความขัดแย้งที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับมีผู้ชายต้องมีผู้หญิง
แม้สังคมจะก้าวทันยุคศิวิไลย์แล้วก็ตาม
มีความเป็นเอกภาพในด้านความเชื่อเรื่องศีลธรรมและจิตวิญญาณตรงกัน
แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในการนำพามวลมนุษย์ในระบอบธรรมธิปไตยช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
ผู้คนบนโลกได้ดื่มด่ำความสะดวกสบาย สมบูรณ์พูนสุขกันถ้วนหน้าตามสถานะของตนเอง
เป็นอานิสงฆ์ผลบุญที่เคยได้ร่วมสร้างกับเหล่าผู้มีบุญทั้งหลายที่แห่กันมาเกิดเพื่อสร้างสมบารีของพวกเขา
และในเวลาเดียวกันพวกที่พึ่งจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแรกก็เพิ่มพูนพัฒนาความไม่รู้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย
ๆ เช่นเดียวกัน
ความสะดวกสบายจากวิทยาการเทคโนโลยีขั้นสูงล้ำที่มนุษย์ได้คิดค้นต่อยอดประดิษฐ์สร้างสรรค์เพื่อทำงานแทนมนุษย์
กลับกลายเป็นโทษในเวลาต่อมาเช่นเดียวกัน มนุษย์จะค่อยห่างเหินจากธรรมชาติ ไม่รู้จักแม้จนกระทั่งตัวเอง
ไม่รู้จักดินโคลน ต้นไม้และสัตว์ร่วมโลกพันธุ์อื่น
ๆ พวกเขาค่อย ๆ
สูญพันธุ์ไปเพราะปรับตัวไม่ได้กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง มนุษย์เองจะฉลาดขึ้นในทางวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อนสามารถค้นหาคำตอบแม้โจทย์ที่มีตัวเลขหลายชั้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้านสังคมกลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว
อวัยวะหรือชิ้นส่วนของร่างกายส่วนที่ไม่ได้ใช้จะเริ่มหดหายไป
ตัวอย่างเช่นฟันอาจจะเหลือไม่กี่ซี่เพราะอาหารที่รับประทาน
มีคุณค่าให้ประโยชน์ต่อร่างกายครบอาจจะบรรจุเป็นเพียงแคปซูนหรือเป็นห่อเล็ก ๆ
เท่าถุงชาชงสำเร็จ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ฟันเคี้ยว มนุษย์รุ่นต่อ ๆ
มาฟันซี่ไม่ได้ใช้จะไม่งอกมาอีกเพราะไม่มีความจำเป็น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะแก้ปัญหาปลายเหตุได้ทุกอย่าง จนกระทั่งคุณค่าของมนุษย์เท่าเทียมกับสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง คำว่ามนุษยธรรมและศีลธรรมก็จะเริ่มเลือนลางหายไปกับสภาพแวดล้อมของสังคมเทคโนโลยี ธรรมไม่เป็นอำนาจอีกต่อไป ความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดสำคัญลำดับแรก
ผู้มีอำนาจคือผู้ที่ถูกต้องและเป็นผู้ชนะจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง การต่อสู้กันครั้งสุดท้ายด้วยสมรรถนะจากสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาจะทำลายกันเองแทบจะหมดเผ่าพันธุ์
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีมนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่งมองเห็นหายนะอยู่เบื้องหน้าได้ตระเตรียมหาทางรอด
จะพากันหลบหนีเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง
ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลายเริ่มต้นแย่งชิงอำนาจกันเพื่อยึดครองทรัพยากรเหลือน้อยเต็มที และไม่สามารถประนีประนอมกันได้อีก เวลานั้นเองก็สิ้นสุดยุคศิวิไลย์เข้าสู่ยุคมิคสัญญี
ในปีพ.ศ. 5000
หรืออีก 2450 ปี
สังคมโลกตกอยู่ในยุคมิคสัญญี
พฤติกรรมของมนุษย์ไม่แตกต่างกับนิสัยดิบ ๆ ของสัตว์เท่าใดนัก พวกเขาที่เหลือรอดตายจากสงคราม และสภาวะต่อเนื่องเช่นอดอาหาร น้ำ
และโรคระบาดเป็นต้น
ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเริ่มต้นไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก วิทยาการเทคโนโลยีล้วนถูกทำลายไปหมดพร้อม ๆ
กับมนุษย์ผู้รู้สร้าง
และจะไม่กลับลงมาริเริ่มอีกในกาลยุคหลังจากนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น