การติดต่อกับวิญญาณของเหล่าพ่อมด
หมอผีเป็นการเชื่อมต่อคลื่นพลังจิตที่มีขนาดความถี่หรือความละเอียดเท่ากัน
ผู้ที่ทำต้องมีสมาธิสามารถควบคุมจิตปรับคลื่นหรืออารมณ์ให้เป็นหนึ่งในขณะที่สื่อสารกัน
คำพูดหรือภาษาที่ออกมาจากปากของพ่อมดหมอผีจะเป็นได้ทั้งของเขาเองและวิญญาณ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวิญญาณที่ต้องการจะสื่อมากกว่า ซึ่งจะใช้เวลาไม่มากนักประมาณ 10-20
นาทีเท่านั้น ที่เกินไปกว่านี้จะเป็นคำพูดที่พยายามอธิบายของผู้เป็นร่างทรงหรือพ่อมดหมอผีตามความเข้าใจ
เพื่อเป็นไปตามความประสงค์ต้องการของเจ้าของพิธีการ
บรรดาพ่อมดหมอผีหรือร่างทรงไม่มีความสามารถจะรู้แท้จริงว่าวิญญาณที่มาสื่อสารด้วยนั้นเป็นใคร
เป็นเทวดาหรือผีชั้นภพภูมิใด พวกเขาจะบอกว่าอย่างใดหรือเป็นอะไรก็ได้
จิตที่ละเอียดกว่ามีอำนาจเหนือ สามารถแทรกแซงจิตที่หยาบโดยเฉพาะมนุษย์ทุกคน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือผีก็เข้ามาติดต่อผ่านได้
พวกเขาก็อยากจะบอกให้ลูกหลานบริวารญาติมิตรให้รับรู้สภาพของบรรพบุรุษเป็นอย่างไร และจะต้องทำอะไรหรือปฏิบัติตนเช่นใด จึงมาอาศัยพ่อมดหมอผีซึ่งเป็นพวกเทวดาพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อช่วยเหลือโดยเฉพาะ
ความไม่รู้ไม่เข้าใจคือความเพียรที่จะต้องขวนขวายศึกษาหาความรู้เพื่อตอบคำถามตนเองและอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ
เป็นลำดับขั้นตอนเรียนรู้จากการปฏิบัติของบรรดาเทวดาในชั้นนี้ที่ลงมาสร้างบารมี
นักพรต เป็นเทวดาพระโพธิสัตว์พวกหนึ่งที่พากันบำเพ็ญในป่าเขา ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ
ศึกษาหาความรู้ด้านจิตวิญญาณและศาสตร์ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการรักษาโรคด้วยสมุนไพร
พวกเขาทั้งหลายเป็นต้นเง้ารากทุก ๆ ศาสตร์วิชาในเวลาต่อมา และพากันต่อยอดสืบต่อเป็นรุ่นต่อรุ่น และที่มนุษย์ได้อยู่รวมกันเป็นชุมชน และสังคม จึงมีการแบ่งงานแบ่งหน้าที่ ปัญหาที่อยู่ทำกิน ที่ดินอาศัย
และโรคภัยไข้เจ็บ เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดการพัฒนาวิชาการความรู้เพื่อใช้และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างพากันหมุนเวียนมาเกิด และทุกครั้งก็จะมาพัฒนาการวิชาการต่อจากของเดิมที่ตนเองได้คิดค้นทิ้งไว้ก่อนตาย
คือเป็นหน้าที่ของแต่ละตนที่เริ่มต้นไว้ต้องดำเนินต่อจนจบ ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามคำอธิษฐานแล้วยังเป็นวิถีทางการสร้างบารมีของแต่ละคนด้วย
ส่วนเส้นทางการสร้างบารมีและเรียนรู้ของพระโพธิสัตว์สายนักบุญ มักปรากฏเป็นผู้นำ เช่นเป็นผู้นำเผ่า
หัวหน้ากลุ่มต่าง ๆ มีบทบาทพาผู้คนต่อสู้
เป็นนักปกครอง และการทหาร สร้างบารมีด้วยการสร้างหรือแย่งบ้านชิงเมือง และรวบรวมผู้คนเป็นสังคม แบ่งสรรปันส่วน จัดระเบียบ สร้างกฏเกณฑ์ มีการนำศาสตร์วิชาความรู้จากแหล่งต่าง
ๆ ที่แย่งได้มา และวิชาที่คิดค้นคว้าเองมาทำให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม เส้นทางนี้มีทั้งสร้างและทำลาย ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากจากวิถีทางบำเพ็ญบารมี
เป็นผู้ต้องรับผลกรรมในฐานะตัวการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้เป็นความตั้งใจดี แต่ได้สร้างความพอใจและความเสียใจให้เกิดขึ้น เส้นทางนี้จึงเป็นมหาวิบากยิ่ง เพราะได้เปิดโอกาสและช่องทางให้นักสร้างบารมีทั้งหลายได้ทำหน้าที่กันทุกคน
เป็นการเสียสละอย่างมาก เป็นเส้นทางของพระมหาโพธิสัตว์
ยุคโพธิสัตว์ เป็นช่วงระยะที่มนุษย์มีพัฒนาการมากทุกด้าน
ศิลปวิทยาการมีทั้งการเริ่มต้นและถ่ายทอดตลอดจนนำมาปรับใช้ในสังคมมากขึ้น
ธรรมชาติ สภาพแวดล้อมภูมิประเทศภูมิอากาศ
อาหารการกินมีส่วนกำหนดให้มนุษย์มีรูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัย
ผิวสีและแม้กระทั่งการสืบพันธุ์ มีความผิดแตกต่างจากที่เริ่มต้นเหมือนกัน
ยิ่งนานวันจำนวนผู้คนมากขึ้น ความคิดก็มากตาม จากแต่เดิมที่ว่างเปล่า
ความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกัน เป็นแรงผลักดันให้สังคมมนุษย์ได้พัฒนาไปข้างหน้าตลอดเวลา
แต่ทุกอย่างที่มนุษย์ทำขึ้นมา ทุกกรณีเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการในเรื่องความเป็นอยู่ที่สุขสบายทั้งสิ้น
ธรรมชาติได้จัดสรรให้แต่ละส่วนทั้งหมดในโลกนี้ต้องพึ่งพากัน ไม่มีความสมบูรณ์หรือพอดี
ทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน จะมีปัจจัยรวมกันเมื่อถึงเวลาของมันเองอย่างเป็นขั้นตอน จนไปสู่การเปลี่ยนแปลง
พวกเทวดาโพธิสัตว์มักจะมาทำหน้าที่จัดการแก้ปัญหา ณ.เวลานั้นเสมอ เข้าไปจัดการเรื่องใด จะเป็นการเรียนรู้เรื่องนั้นและได้เพียงเรื่องเดียวในชาติหนึ่ง
ๆ
พวกนี้จึงเป็นเทวดาขยันมาเกิด
อายุขัยไม่ยืนยาวเท่ากับพวกอื่น เมื่อหมดภาระหน้าที่มักจะตายลงหลังจากนี้ ความรู้ความเข้าใจของพวกเขายังไม่เพียงพอ
ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ดังนั้นจึงทำให้คำสอนของพระโพธิสัตว์ที่เป็นลัทธิ
หรือสำนักนิกายในยุคต่าง ๆ ไม่ถูกต้องสมบูรณ์
เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้รู้มา จึงต้องลงมาเกิดเพื่อเรียนรู้ให้ถึงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น