วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

มนุษย์ยุคชาดก

มนุษย์ยุคชาดก
เป็นยุคของพวกพรหมและเทพมาเกิดมาเป็นมนุษย์ และที่เกิดจากการสมสู่กันระหว่างมนุษย์เพศหญิงและชาย   ซึ่งต่างก็เป็นต้นตระกูลของชนชาติต่าง ๆ แต่ละแห่งที่พวกเป็นบรรพบุรุษลงมา  บรรดาลูกๆของพวกเขาเริ่มจะมีร่างกายที่หยาบ แน่นหนาแตกต่างจากรุ่นพ่อแม่  เป็นไปกาลเวลา        ตามสภาพของท้องที่      และธาตุสารอาหารที่กินเข้าไป  เป็นการเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการของธรรมชาติ
เมื่อแผ่นดินเริ่มมีโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำมากขึ้น  พวกอาภัสสรกายทิพย์ก็ต่างทะยอยลงมาหากินและกลายเป็นมนุษย์ตลอดเวลา  มีแสงหลากสีวูบวาบลอยเต็มท้องฟ้าเหมือนหิ่งห้อย      และพวกที่ลงมาเกิดก่อนก็เริ่มมีลูกมีหลานต่างแยกย้ายหากินกันเป็นคู่ ๆ    อาหารการกินไม่อดหยาก       จะกินอะไรก็ได้หมดทุกอย่าง     ไม่เป็นเวลา  ไม่มีวันเดือนปีอะไรทั้งสิ้น  เป็นช่วงระยะเวลาของโลกมีมนุษย์และสัตว์อยู่สองพวก คือ  ประเภทมาเกิดเอง        และประเภทที่เกิดจากน้ำเชื้อและรังไข่  หรือเป็นทายาทสืบทอดรักษาเผ่าพันธุ์ของพวกแรกต้นแบบ
ยุคชาดกไม่กำหนดเวลาอายุขัย   มีแต่การเกิด     การตายมีเพียงถูกฆ่าจากมนุษย์หรือสัตว์เพื่อเป็นอาหาร   และเพราะอุบัติเหตุ   ตายแล้วสามารถมองเห็นวิญญาณออกจากร่างเป็นแสงไปสิงอยู่กับร่างของคนเป็น  หรือไปอยู่ในห้องครรภ์ผู้ที่กำลังจะเป็นแม่  เพื่อสื่อสารให้รู้ว่าตายแล้วไปไหน  เป็นการเริ่มเรียนรู้ของเผ่าพันธุ์ในเรื่องจิตวิญญาณจากพวกที่ตายไปแล้วด้วยกันเอง  ความรู้สึกโศรกเศร้าเสียใจ  ความเหงาที่ขาดเพื่อนหรือคู่ชีวิตไป  ก็เริ่มมีขึ้นในหมู่มนุษย์  เมื่อไม่มีกำหนดเวลาเป็นอายุที่จะต้องตาย  มีแต่การเกิดอยู่ตลอดเวลา  ทำให้การตายแต่ละครั้งมีความสำคัญมาก  จึงมีพิธีกรรมต่าง ๆ และพิธีการในการจัดการกับศพของคนตาย เพื่อความหวังว่าคนที่เคยอยู่ร่วมกันจนเกิดความเข้าใจรักใคร่จะได้มาเกิดร่วมชีวิตด้วยกันอีกของมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์   ทุกชนชาติบนโลกเหมือนกันหมด

ณ.  เวลานั้นโลกพึ่งเกิดใหม่มีอายุไม่กี่ล้านปี  ธรรมชาติแวดล้อมมีแต่บริสุทธิ์สดใส     ทั้งดินน้ำลมไฟ  มนุษย์พืชและสัตว์ต่างก็มีจิตวิญญาณที่ใสสะอาดหมดจด  ต่างจึงไม่มีแก่เฒ่าและกำหนดกาลเวลา  จนกระทั่งมนุษย์และสัตว์มีจำนวนมากขึ้นจึงเริ่มมีการสื่อสาร     และมีข้อตกลงจัดการกับความเป็นอยู่      มีระเบียบแบบแผนในหมู่เผ่าชนที่หนาแน่น   การทำร้ายฆ่ากันเองด้วยเหตุผลต่าง ๆ และด้วยอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจก็เริ่มเกิดตามขึ้นมา   ความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว       ความทุกข์และความสุข       ชัดเจนมากขึ้นในหมู่มวลมนุษย์  ความบริสุทธิ์สดใสของโลกเริ่มมัวหมอง  จิตใจของมวลสรรพสัตว์ไม่สดใสเหมือนเก่า  อายุของมนุษย์กับสัตว์ก็เริ่มลดลงมาเรื่อย ๆ และมีกาลกำหนดเวลาสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมของโลกที่เริ่มเปลี่ยนแปลง

2 ความคิดเห็น:

icppremium กล่าวว่า...

ยุคโพธิสัตว์



ชั่วระยะเวลาหนึ่งแรก ๆ สรรพชีวิตที่เป็นพวกกลุ่มบรรดาเทวดาชั้นเทพและพรหมลงมาเกิดตามกาลเวลาเป็นต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์กับบรรดาพวกที่พ้นโทษทัณฑ์ได้ขึ้นมาเกิดเป็นต้นเผ่าพันธุ์ทั้งมนุษย์และสัตว์ก็ต่างใช้ชีวิตบนโลกด้วยความสงบสุข เป็นเวลานานหรือนับไม่ได้ สมมุติเรียกขึ้นมาว่ายุคชาดก จนกระทั่งจำนวนของสรรพสัตว์มีมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดตามมา อายุของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงต้องถูกกำหนดจำกัดอายุขัย เพราะทุกอย่างผูกพันสัมพันธ์กันมาอย่างมีกฎเกณฑ์

เมื่อธาตุจิตวิญญาณที่ว่างใสบริสุทธิ์ ลงมาเกิดมีร่างกายเป็นมนุษย์อาศัยสารแร่ธาตุบนโลกรักษาหล่อเลี้ยงบำรุง ต้องตกอยู่ในกฎเกณฑ์ของโลก ที่ต้องอยู่ ต้องกินและบำรุงรักษา ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ได้เกิดขึ้นทันที จิตไม่มีความบริสุทธิ์ต่อไปอีกนับแต่มีสังขารคืนมาหลังจากลิ้มรสของปฐพีนับแต่นั้นเป็นต้นมา

การมีชีวิตอย่างไม่มีกำหนด หรืออมตะ ไม่มีวันตายถูกจำกัดลงมาเรื่อย ๆ จากเป็นล้านลดมาเป็นแสน และเหลือเพียงไม่กี่หมื่นปีในช่วงระยะเวลายุคชาดก เหล่ามนุษย์ด้วยกันได้ทำการเบียดเบียนทำร้ายกันเอง ผูกเวรผูกกรรมไปมาไม่รู้สักกี่เที่ยวกี่รอบ มีความทุกข์ทรมานแสนสาหัสจากที่ได้สูญเสียในสิ่งที่ตนรักและหวงแหน ต่างมัวเมามองไม่เห็นต้นเหตุปลายผล

icppremium กล่าวว่า...

มนุษย์ในยุคนี้แม้จะมีที่มาของกำเนิดแตกต่าง เป็นพวกที่มีจิตวิญญาณที่ว่างเปล่า ไม่มีความทรงจำหรือสัญญาใดติดมาด้วยเพราะถูกลบล้างหมด เป็นการเริ่มต้นใหม่ ความรู้สึกนึกคิดถูกห่อหุ้มด้วยสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ที่มีแต่การกินขับถ่าย และเสพย์สมกามสืบทอดสายพันธุ์เท่านั้น แม้จะติดต่อกับจิตวิญญาณที่อยู่บนชั้นฟ้าได้โดยตนเอง หรือผ่านตัวกลางหรือร่างทรง ก็ไม่ได้ความรู้ความเข้าใจอะไรเพราะต่างก็ไม่รู้เหมือนกันมีการเบียดเบียนฆ่าฟันทำร้ายกันเกิดขึ้น ไม่รู้จักผิดถูก ตายไปแล้วก็เกิดใหม่มาลบล้างกันต่อเป็นวัฐฐ์ลูกโซ่ พวกที่ตายไปกลายเป็นผีบรรพบุรุษ เฝ้าคอยวนเวียนช่วยเหลือลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่

จิตวิญญาณยังมีภพภูมิสถิตย์ซ้อนอยู่ณ.บริเวณที่อยู่อาศัยเดิม ตามป่าเขาและท้องน้ำ ในถิ่นของพวกเดียวกัน สามารถดลบรรดาลปัดเป่าแสดงปรากฎการณ์เหนือมนุษย์ เช่น ทำให้เกิดลม ฝน ก้อนเมฆบังแดดหรือแม้แต่ฟ้าผ่าได้ เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ หรือคอยรักษาอาการเจ็บป่วยบางโรคได้ในบางรายเป็นต้น ซึ่งเป็นความซับซ้อนละเอียดอ่อน มีเงื่อนไขเป็นเหตุผลในแต่ละกรณี และไม่สามารถนำไปอธิบายเป็นมาตรฐานสูตรสำเร็จแต่ทำให้มีการบูชา เฝ้าอ้อนวอนกราบไหว้บรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว เกิดขึ้นทั่วทุกเผ่าทุกชาติพันธุ์ในโลกนี้ และต่างสมมุติเรียกชื่อวิญญาณบรรพบุรุษขึ้นมาเป็นภาษาของพวกตนเอง

เป็นช่วงเวลาระยะหนึ่งที่โลกเป็นสวรรค์บนดินให้กับบรรดามนุษย์ประเภทเทวดาตกสวรรค์ และพวกขึ้นมาจากนรกได้มีความเป็นอยู่อย่างอิสระเสรีเท่าเทียมกัน เสพย์สุขโลกีย์กันอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน มีความคิดและความเห็นที่แตกต่าง มีการรวมกลุ่มรวมตัวเป็นสังคม และแยกออกไปเป็นอิสระ ชนเผ่าใดที่เกิดมีปัญหาระเบียบข้อกำหนดก็มีขึ้นตามและท้ายสุดข้อบังคับกับการขัดขืนต่อต้านก็ตามมาคัดค้านกันต่อ

พัฒนาการของมนุษย์บนโลก ตำนานไทยบ่งบอกไว้ว่ากินเวลาเป็นอสงขัย คือนับไม่ได้ ด้วยความอุดมสมบูรณ์และความบริสุทธิ์ของธรรมชาติยุคชาดกได้ปรนเปรอทุกอย่างแก่สรรพสัตว์ จนเกิดสภาวะธรรมเป็นกิเลสขึ้นห่อหุ้มจิตใจของทั้งคนและสัตว์ ซึ่งแต่เดิมเคยว่างเปล่า แต่ด้วยเวลากว่าร้อยล้านปี เป็นช่วงระยะที่ยาวนานมาก จึงทำให้จิตวิญญาณที่เคยใสบริสุทธิเพิ่มพูนสะสมความรัก โลภ โกรธ หลง มากจนฝังแน่นในจิตใจ
เป็นคุณลักษณะของมนุษย์ในที่สุด เปรียบได้เหมือนเริ่มมีฝุ่นละอองเกาะคลุมแก้วกระจกที่เคยสดใสจนมองไม่เห็นเงาและแสงสะท้อนเหมือนเดิม เริ่มแรกสนุกสนานจนเกิดมีความคิดและความแตกต่าง มีกลุ่มพวก รวมตัวเป็นสังคม เริ่มมีปัญหาจึงมีระเบียบข้อกำหนดและการบังคับ จนในที่สุดนำไปสู่ความขัดแย้ง การต่อสู้ถึงขึ้นหักล้างก็ตามมา พัฒนาการของของมนุษย์และสัตว์บนโลกเรียกระยะเวลานี้ว่า “อสังขัย” คือไม่นับหรือนับไม่ได้ร้อยล้านปีขึ้นไป

ธรรมชาติได้ให้ทุกอย่าง นับเป็นการเริ่มต้นอุปทาน หรือความอยากมีและต้องการ คือกิเลสเกิดขึ้น เป็นความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง แทนที่ความว่างเปล่าในจิตวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ เป็นคุณสมบัติติดตัวของทุกคนไม่มียกเว้น

จึงเป็นเวลาของกลุ่มเทวดาอีกชั้นหนึ่งจุติลงมา พวกเทวดาในชั้นนี้เป็นเสมือนพี่เลี้ยงหรือครู พวกเขาทั้งหลายลงมาเกิดหรือแบ่งภาคลงมาทำหน้าที่คอยช่วยเหลือพวกสายเครือญาติญาติบริวารเดียวกัน พวกเทวดากลุ่มนี้มีความทรงจำหรือสัญญญาเก่าติดมา จะกระจายลงไปเกิดในหมู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ต่าง ๆ และเผ่าพันธุ์สัตว์หลายประเภทชนิดแล้วแต่กรณีเหตุปัจจัยของแต่ละท่าน เป็นไปตามวัตถุประสงค์และขั้นตอนในการบำเพ็ญที่มีความแตกต่างกันออกไป