วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กำเนิดโลก

ตำนานกำเนิดโลก

ทางวิชาดาราศาสตร์

นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า  โลกของเราและเพื่อน ๆ ดาวเคราะห์อีก 8 ดวง  เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มฝุ่นและแก๊สขนาดใหญ่ที่หมุนวนรอบกันเองอยู่ในอาวกาศ  ที่เรียกว่า เนบิวลา  ด้วยแรงดึงดูดระหว่างมวลสารด้วยกัน  จึงทำให้ส่วนใหญ่ถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลาง   คล้ายการหมุนหรือกวนน้ำในอ่าง    นานเข้าจะทำให้ฝุ่นละอองมารวมกันตรงกลาง  และจุดตรงกลางนั้นจะกลายเป็นดวงอาทิตย์  ฝุ่นละอองแก๊สที่เหลือจะแยกเป็นดาวเคราะห์ทั้ง  9  ดวง  รวมทั้งโลกมนุษย์เอง  มันรวมตัวกันด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาล  เมื่อประมาณ  4,600  ล้านปีมาแล้ว  และทั้งหมดยังหมุนเวียนกันอยู่เป็นวงโคจรอยู่เหมือนเดิมเป็นระบบสุริยะจักรวาลในปัจจุบัน
ตำนานไทย

ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดโลกของชาติไทยจะแทรกปะปนทั่วไปในเรื่องพระพุทธประวัติ    ความเป็นมาของคนไทยและเรื่องราวเกี่ยวกับโลกจะเรียบเรียงเป็นตำนานการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าขณะยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่   ที่พระองค์ท่านต่างลงมาบำเพ็ญเพียรสะสมบารมีเพื่อให้ครบทั้ง 30 ทัศ   บรรพบุรุษชาวสุวรรณภูมิทั้งหมดได้เล่าเรื่องราวและสืบสานกันมาจนถึงปัจจุบัน   เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างยุค ต่างสมัยกันแต่ทั้งหมดอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ    คนโบราณมักจะบันทึกเรื่องราวเป็นโครง กาพย์ กลอน  และมักนำมาร้องรำบนเวทีในโอกาศพิเศษ เช่นเทศกาลสำคัญทางศาสนา   นอกนั้นจะใช้เป็นหลักสูตรในการเยนของนักบวชในพระพุทธศาสนากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่   กษัตริย์และพวกขุนนางเท่านั้นตัวอย่างเช่น หนังสือพระเจ้า 500 ชาติเป็นต้น   เรื่องราวทั้งหมดคือการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นไร  ส่วนสถานที่เป็นชื่อเมืองต่าง ๆ ก็คือเมืองโบราณต่าง ๆ ที่เหลือแต่เพียงซากปรักหักพังที่มีอยู่กลาดเกลื่อนทั่วไปทั้งภูมิภาค  ซึ่งบางแห่งยังมีให้เห็นบ้างเล็กน้อย

ดังนั้นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของชนชาติไทยกับประวัติพระพุทธศาสนาจึงแยกกันไม่ออก   ไม่ชัดแจ้งในศาสนาพุทธก็ไม่รู้จักคนไทยดี

ในตำนานของไทยอธิบายไว้ว่า  โลกของมนุษย์นี้เดิมก็มีอยู่นานแล้วและเคยได้แตกสลายไปพร้อม ๆ กันทั้งหมด  แล้วก็เกิดขึ้นมาอีกนับครั้งไม่ถ้วน  จึงมีภาษาที่ใช้เรียกคำว่านับไม่ถ้วนหรือนับไม่ได้ว่า อสงขัย  การแตกกันไปทุกครั้งทั้งหมดของระบบสุริยะก็จะกลายเป็นกลุ่มละอองฝุ่นแก๊สสีขาวเงินใหญ่มหึมาลอยเวิ้งว้างหมุนวนรอบกันเองในอาวกาศ  (หรือ เนบิวลานั่นเอง)  จะนานสักเท่าใดไม่สามารถประมาณได้  ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งมีระบบและกฎเกณฑ์ของมัน  การอุบัติของโลกพร้อม ๆ กับดวงอาทิตย์และบรรดาดาวเคราะห์ทั้ง  8  ดวง  ในระบบเริ่มแรกเดิมที่จะเป็นผืนน้ำก่อนที่จะมีผืนดิน     และเนิ่นนานอีกเท่าใดไม่รู้ถึงจะเย็นพอที่บรรดาสรรพชีวิตจะมาเกิดอาศัยได้ 

สรุปว่ากำเนิดโลกตามตำนานไทยดั้งเดิมโบราณกับนักวิทยาศาสตร์ทุกแขนงมีความเห็นที่สอดรับกัน   แตกต่างกันในรายละเอียดที่พิสูจน์ไม่ได้เท่านั้น        การมีข้อสันนิษฐานใหม่ ๆ เกิดขึ้นภายหลังจากมีอุปกรณ์สิ่งประดิษฐ์  ที่เป็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีแม้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่าใด  ยิ่งจะเป็นการยืนยันความถูกต้องของตำนานไทย และกำลังหักล้างข้อสมมุติฐานเดิมๆของนักวิทยาศาสตร์รุ่นแรก ๆ เสียมากกว่า

อัคคัญญสูตร  ทีฆนิกาย  ปาฎิกวัคค  สุตตันตปิฎก  เล่ม  11/87-107

กำเนิดสรรพชีวิต

3 ความคิดเห็น:

icppremium กล่าวว่า...

ธรรมชาติวิทยา


นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าพิสูจน์หาข้อสรุปจากหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องกันเพื่อหาข้อโต้แย้งให้น้อยที่สุด หลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณหาอายุได้ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำ และเป็นที่ยอมรับกันคือ พวกแร่ธาตุและหิน ดินทราย ประเภทต่าง ๆ และซากสิ่งของที่เคยมีชีวิตหรือ ฟอสซิน (FOSSILS) เป็นต้น พวกเขาต่างศึกษาค้นคว้าบันทึกต่อยอดปรับปรุงกันตลอดมา ล่าสุดสันนิษฐานว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกนี้หลังการเย็นตัวลงเมื่อ 1,750 ล้านปี แต่สำหรับมนุษย์นั้นพัฒนามาจากลิง เป็นคนเมื่อ 75 ล้านปีมานี้เองโดยประมาณ
อย่างไรก็ตามด้วยพัฒนาการของมนุษย์เอง ข้อสรุปการสันนิษฐานได้รับการแก้ไขปรับปรุงตลอดมา ทุกขั้นตอนมีมาตรฐานตามหลักการและกระบวนการเป็นที่ยอมรับ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เมื่อมีข้อมูลหรือค้นพบวัตถุพยานขึ้นใหม่ เป็นคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่หยุดแสวงหาความจริง
นักธรรมชาติวิทยาประมาณว่า โลกเรายังลุกเป็นลูกไฟอยู่อีกกว่า 3,000 ล้านปี เมื่อเย็นตัวลงจะมีพวกพืชพันธุ์นานาชนิดก่อนพวกสัตว์สารพัดพันธุ์ แล้วจึงค่อยมีพันธุ์มนุษย์เกิดขึ้นมาภายหลัง และเป็นการพัฒนาจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ลิงก่อน ค่อยมาเป็นลิงภายหลัง แล้วจึงมาเป็นเหมือนคนอย่างเช่นในปัจจุบันอีกขั้นตอนหนึ่ง
แต่ทฤษฏีที่เข้าใจว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิง และอายุของโลกยังมีข้อโต้งแย้งอีกมาก โดยเฉพาะการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ตามถ้ำลึกในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย จากการทดสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ความเก่าแก่ของชิ้นกระดูกที่พบบางแห่ง กำลังหักล้างทฤษฏีความเชื่อเดิมที่ว่ามนุษย์พัฒนาการมาจากลิงนั้นค่อย ๆ จะหมดไป

icppremium กล่าวว่า...

ตามตำนานคติไทย


ตำนานไทยก็ถือตามบันทึกในพระไตรปิฎก บอกไว้ว่า เมื่อโลกเย็นลงแล้วจะงอกเป็นผืนน้ำทั้งผืนก่อน เหล่าบรรดาสรรพวิญญาณกลุ่มพวกเทพระดับสูง หรืออาภัสสรพรหม ที่เที่ยวล่องลอยในอวกาศพร้อม ๆ พวกสรรพวิญญาณทั้งหลาย หลังจากโลกเดิมแตกสลายกลายเป็นกลุ่มละอองแก๊สด้วยสาเหตุที่หมดอายุขัยของมันเอง พวกเหล่านี้ต่างเฝ้ารอคอยการกลับมาของโลกอีกจนกระทั่งได้เวลาเมื่ออุณหภูมิโลกเย็นลง จึงลงมาเที่ยวหากินกลิ่นอายดิน ที่เรียกกันว่า ง้วนดิน และละออง
อายน้ำเหนือพื้นน้ำ พวกสรรพวิญญาณของเทพพรหมนี้จะมีแสงปรากฏให้เห็น สว่างไสว สุกสกาวแตกต่างไม่เท่ากันเป็นไปตามกำลังบุญ คล้ายพลังงานของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เมื่อต่างได้มารวมกับธาตุดินและน้ำแล้ว ด้วยอำนาจธรรมชาติ จึงมีรูปร่างปรากฎเป็นคนเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นบรรดาเหล่าเทพพรหมที่เป็นแต่วิญญาณเมื่อเสพย์ธาตุดินและน้ำเข้าไปจึงทำให้แสงสว่างมอด ลอยต่อไปอีกไม่ได้ เพราะน้ำหนักของธาตุทั้งสองวิญญาณธาตุไม่บริสุทธิ์เหมือนก่อนกลับมีร่างกายเป็นมนุษย์คืนมาอีกครั้งอย่างที่เคย
การกำเนิดมนุษย์อีกครั้งหนึ่งบนโลกมีขึ้นพร้อม ๆ กับสรรพสิ่งที่มีชีวิต รวมทั้งพืชและสัตว์ประเภทชนิดต่าง ๆ ทั้งเล็กและใหญ่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นทั้งหลายก็มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ร่างกายก็ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่เหมือนกับมนุษย์ ที่เป็นซึ่งส่วนหนึ่งของโลก
นี้คือเป็นส่วนรายละเอียดที่แตกต่างจากความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ยอมรับถึงการมีอยู่จริงของจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ถึงปฏิเสธ เพียงพิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิชาการที่บัญญัติไว้เป็นมาตรการกีดกั้นความรู้ตนเองของพวกมนุษย์เท่านั้น

icppremium กล่าวว่า...

ต้นมนุษย์


มนุษย์กลุ่มแรกบนผืนโลกมาจากเหล่าบรรดาอาภัสสรเทพพรหมที่ลงมากินง้วนดินอายน้ำ เป็นพวกบริสุทธิ์มีจิตวิญญาณใสสะอาดที่เมื่อครั้งอยู่บนโลกใบเก่าทำแต่ความดี เชื่อในเรื่องศีลธรรม ยำเกรงต่อบาปและกลัวตกนรกภูมิ พวกเขาจึงเป็นกลุ่มเทพเทวดาที่ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ชั้นต่าง ๆ เสวยบุญบารมีเก่าที่สร้างสมไว้ขณะที่เป็นมนุษย์ อยู่นานนับไม่ถ้วน หรือมากเท่า ๆ กับอายุของโลกก่อนจะแตกสลาย ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นเวลาหมื่นล้านปีขึ้นไป เมื่อหมดบารมีความดีที่สร้างไว้ก็ต้องมาเกิดบนโลกมนุษย์อีก
เป็นพวกที่ลดกิเลสได้ในระดับหนึ่งแล้ว หรือเกือบจะหมดสิ้นยังแต่เพียงสงสัยในนิพพาน จึงทำให้ไม่หลุดพ้น ต้องวนเวียนสร้างความเพียรขจัดความลังเลให้หมดสิ้น ด้วยการมาเกิดใช้ชีวิตบนโลกอีก ทั้งหลายจึงเหมือนวิญญาณอภิสิทธิได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์เลย ต่างจากพวกจิตวิญญาณที่พึ่งถูกปลดปล่อยมาจากขุมนรกชั้นต่าง ๆ เมื่อพ้นโทษทัณฑ์แล้ว ต้องมีร่างกายสังขารเป็นพวกสัตว์ชนิดต่าง ๆ เสียก่อน ต่อมาภายหลังจึงจะได้เกิดมีร่างเป็นมนุษย์บ้าง
เรื่องเล่าต้นมนุษย์เกิดขึ้นมาจากตำนานของไทยตามคติทางพุทธศาสนาสืบต่อเรื่องราวจนกระทั่งปัจจุบัน แม้จะไม่มีวัตถุพยานอ้างอิงแต่มีคำพูดหรือชื่อที่ยังใช้และสื่อความหมายได้ชัดเจน และเข้าใจกันทั้งเกือบทุกภูมิภาค คือ คำเรียกมนุษย์คนแรกว่า “นายสรวง”
นายสรวงเมื่อตื่นขึ้นมาหลังจากกินง้วนดินอายน้ำจนอิ่มและเผลอหมดสติหลับไป นานเท่าใดไม่รู้ พยายามจะเหาะลอยไปขึ้นไปบนท้องฟ้าอีก แต่ไม่สามารถทำได้เพราะอาทิสมันกาย หรือกายทิพย์กลับเป็นรูปร่าง มีเลือดเนื้อเหมือนเก่า แสงที่มีอยู่ก็หมดไป จึงได้แต่เดินไปทั่วรอบ ๆ บริเวณ หิวเมื่อใดก็หยิบกินได้ทุกอย่างทั้งดินและผลไม้ ใบหญ้า ที่มีขึ้นพร้อม ๆ กับเขา แหงนขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นแต่แสงพวกอาภัสสรเทพหลายหลากสีที่กำลังวูบลงมาบนพื้นดิน และลอยไปเรื่อย ๆ บนฟ้ากว้าง จนกระทั่งมาพบเทพอาภัสสรตนหนึ่งกำลังกินง้วนดินอยู่ นายสรวงนั่งเฝ้าดูด้วยความสนใจ ร่างใส ๆพร้อมกับแสงสีทองกินดินอายน้ำอยู่อย่างเพลิดเพลินไม่นานก็ง่วงนอนหงายหลังหลับไป ขณะที่นอนอยู่นั้นแสงในตัวค่อย ๆ จางหายไปเรื่อย ๆ เกือบหมด นายสรวงเห็นเช่นนั้นก็ระลึกได้ว่าตนเองก็เป็นเหมือนอาภัสสรกายร่างนี้
และในเช้าที่ 4 เมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบร่างอยู่นานจนแสงในร่างกายหมดไป จึงตื่นขึ้นมาและตกใจเห็นตนเอง พยายามกระโดดทำท่าจะลอยหนี นายสรวงจึงวิ่งเข้าไปจับแขนเอาไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนกัน แรก ๆ ก็ตกใจกลัวขัดขืนแต่สู้แรงนายสรวงไม่ได้ จึงยินยอมแต่โดยดี นานไปก็คุ้นเคยสนิทสนมกัน พากันท่องเที่ยวสนุกสนานไม่รู้วันเดือนปี หิวเมื่อใดก็สามารถหยิบกินได้ทุกอย่างรอบตัว ทั้งผลไม้ ต้นพืชรวมทั้งสัตว์เล็ก ๆ ที่มีขึ้นทั่วไปรอบเกาะนั้น
ผีฟ้าตนนี้อุบัติขึ้นมาเป็นเพื่อนของนายสรวง และบรรดาลให้รู้ที่มาของเขาเองจากที่เฝ้าดูอยู่ถึง 3 คืน 4 วัน ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน เป็นมนุษย์บนโลกพร้อมกับมนุษย์ที่อื่น ๆ ทั่วไป นายสรวงเห็นร่างใส ๆ ของเพื่อนคนแรก จึงเรียกกันเองว่า สาง เป็นคำพูดที่สื่อความหมายถึง การมองเห็นลาง ๆ ไม่ชัดเจนเหมือนอย่างมีหมอกบังในยามเช้าว่า “ ฟ้าสาง” นั่นเอง
ทั้งคู่เป็นเพี่อนท่องเที่ยวกินอยู่ด้วยกันมานานต่างไม่รู้ว่าทำไมมีอวัยวะบางส่วนไม่เหมือนกัน จนกระทั่งถึงวัยและเวลา ที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงกระตุ้นให้มีความสนใจในร่างกายเกิดขึ้น และมีการสมสู่ทางเพศครั้งแรกโดยไม่ตั้งใจ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสองเรื่อยมาควบคู่กับชีวิตประจำวัน ที่มีแต่การกินและขับถ่ายอยู่ก่อนหน้า เมื่อทั้งสองทำหน้าที่ของผู้ชายและผู้หญิง คำว่า อ้ายและอี จึงเกิดขึ้นมาแทนเรียกเพศหญิงกับเพศชาย และให้คำว่าอ้ายเป็นพี่ หมายถึงผู้ชาย ที่ซึ่งเกิดก่อนมีพละกำลังร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่กว่า อี จึงหมายถึงผู้หญิงที่เกิดทีหลังโดยปริยาย
ตำนานบรรพบุรุษมนุษย์คู่แรกของคนไทย บรรยายเรื่องราวอย่างละเอียดถึงการเกิดขึ้นมาของนายสรวง และนางสางบนโลกมนุษย์ ดังนั้นทั้งสองย่อมเป็นโคตรเง่าต้นตระกูลเผ่าไทยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มายาวนานมากกว่าพัน ๆ ล้านปี ที่พากันเกิดกับตายและตายแล้วก็เกิดไม่รู้สักกี่รอบ สาระเนื้อหาของตำนานเป็นไปตามคติพจน์ในพระพุทธศาสนาทุกอย่าง โดยเฉพาะคำที่พูดกันเสมอมาว่า “ทุกคนบนโลกนี้เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น” เมื่อเป็นดังนั้นแล้วบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ลงมาเกิด ณ. พื้นที่อื่นพร้อม ๆ กันหรือไล่เลี่ยกันกับอ้ายสรวงนางสางก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าบรรดาอาภัสสรเทพรหมลงมาเกิดทั้งสิ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นก็สร้างแต่ความดีไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันและต่างหมดบุญที่ได้สร้างสมไว้จึงต้องกลับมาเป็นมนุษย์เริ่มกันใหม่ด้วยกันอีก