วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ยุคศิวิไลย์พุทธกาลที่ 1






 
ยุคศิวิไลย์พุทธกาลที่ 1  



 
                  พระธรรมคำสอนของพระเจ้ากกุสันโธได้ อธิบายความเป็นมาของโลกและสรรพชีวิตทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์ที่กำลังประหัตประหารกัน ไขข้อข้องใจ ความหลงเชื่อว่า    เทพเทวดาแต่ละชนเผ่าของพวกตนยิ่งใหญ่      และมีอำนาจสูงสุดสามารถจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนได้รับทุกสิ่งที่ต้องการเพียงภาวนา อ้อนวอนด้วยความศรัทธา และตอบปัญหาทั่วทั้งจักรวาล  พร้อมกับวิธีการตรวจสอบความรู้นั้นได้ด้วยตนเองว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร

เส้นเดินทางของมนุษย์มีวิถีวงจรเป็นวงกลมตามจิตวิญญาณ ที่พาร่างกายและสังขารท่องเที่ยวไปเหมือนไร้จุดหมาย แต่เมื่อได้สักระยะหนึ่งและเพียงครั้งเดียว   ธรรมจะจัดสรรให้พบกับผู้เป็นสรรพภัญญู ตรัสรู้ คือรู้แจ้งเห็นจริงทุกประการ  และบอกมนุษย์ทั้งหลายว่าการเกิดมาของมวลสรรพสัตว์นั้นล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแน่นอน    ทุกอย่างเป็นไปเพราะจิตดวงเดียวทำให้คิด  ทำให้เป็นทุกอย่าง  หยุดที่ความคิดคือหยุดทุกอย่าง  แม้วงโคจรของชีวิตก็ยุติถาวร และเพียงเริ่มต้นจากตัวเราเป็นหลัก   มีใจคิดไปลบล้างสัญญาทั้งหลายในจิตวิญญาณเท่านั้น นอกนั้นเป็นเพียงผู้ช่วย  ซึ่งต้องฟังประธานคือใจของเราซึ่งมีด้วยกันทุกคนเพียงเท่านี้ก็สามารถเห็นความจริงได้หมด   และเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าได้

เมื่อศาสนาได้เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกบนโลก ทำให้สังคมมนุษย์ยุคนั้นยุติความเชื่อและเข้าใจแบบเดิมที่ตกทอดกันมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทุกแห่งหนที่มนุษย์รวมกลุ่มเป็นสังคม มีประเทศต่างก็มีโอกาศรับเอาธรรมคำสอนไปปฏิบัติตาม  และบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์กัน และบรรลุตามลำดับ    เป็นขั้นกลางและขั้นต้น      คอยเป็นระดับชั้นสืบสานต่อให้คนรุ่นหลังเป็นทอด ๆ ไม่ขาดสาย

เพราะธรรมของพระพุทธเจ้ามีความละเอียดลึกซึ้งจะเข้าใจง่ายหรือยากเป็นไปตามระดับความรับรู้ ทุกคนมีสภาวธรรมแตกต่างกัน ไม่สามารถจะสอนให้เข้าใจได้พร้อมกันทีเดียว ความสามารถของผู้ถ่ายทอดและผู้รับฟังก็มีความสำคัญเป็นปัจจัยหนึ่งในการจะเข้าถึงธรรมหรือไม่

ศาสนสถานเช่น วัด วิหาร โบสถ์ ศาลา สถูปเจดีย์ ถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กับศิลปการแสดงเกี่ยวกับประวัติเรื่องราวคำสอน   มีความสวยงามหลากหลายรูปทรง มีแง่มุมทางความคิด     ตามความรู้สึกเข้าใจของนายช่างแต่ละคน    เพื่อสื่อสะท้อนในทิศทางเดียวกัน เป็นกระแสความตื่นตัวของผู้คนหลังจากมีความสงบสุขเกิดขึ้นแล้วในหมู่มวลมนุษย์แทนการคิดค้นสร้างอาวุธคอยประหารกัน กลับมาแข่งขันสรรสร้างผลงานทางความคิด  เป็นวรรณกรรมและศิลปทางวัฒนธรรม  ความเจริญทางด้านวัตถุที่ก้าวล้ำนำหน้าในบางกลุ่มประเทศหยุดชะลอลง กระแสอารมณ์ของผู้คนในแผ่นดินที่มีเพียง 1 ใน 8 ส่วนของโลกเท่านั้น คลั่งใคร้กับความรู้ใหม่จึงทำให้เกิดมี



            -พระธรรมคำสอน ถูกนักปราชญ์ประพันธ์เป็นร้อยแก้วร้อยกรองใช้

                   ร้องยกย่องสรรเสริญพระองค์ที่มีบุญคุณต่อมนุษย์

            -พระธรรมคำสอน ถูกนำมาแต่งเป็นบทสวดมนต์ไว้ท่องเพื่อให้เกิด

            ความทรงจำและเป็นการบันทึกในจิตวิญญาณของมนุษย์อย่างถาวร



ยุคศีลธรรมเฟื่องฟูในสังคมมนุษย์อยู่นานเท่าใดไม่ได้บอกไว้แต่ประมาณว่าหลายชั่วอายุคน    ความอุดมสมบูรณ์อยู่ดีกินดีเกิดขึ้นทุกชนเผ่า      เพราะผู้คนประพฤติดี  ทำดี  แต่ขณะเดียวกันก็เพาะบ่มความอ่อนแอให้เกิดขึ้น   คนรุ่นหลังได้รับความสะดวกสบาย  บรรพบุรุษจัดการทุกอย่างให้จึงขาดแรงจูงใจไม่มีความกระตือรือร้น จนเกิดความประมาทและอวดดีแทน

ศีลธรรมเริ่มเสื่อมถอย จนกระทั่งหมดไปโดยเฉพาะในเผ่าประเทศแหล่งกำเนิดของศาสนา แต่กลับมาเจริญงอกงามและรุ่งเรือง ณ.ดินแดนสุวรรณภูมิแทน ส่วนในอาณาจักภูมิภาคอื่น ชนเผ่าส่วนน้อยด้อยพัฒนาที่เคยถูกเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง เกิดช่องว่างมีโอกาศรวมตัวกัน จนเข้มแข็งสามารถต่อสู้ปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระ บางแห่งมีความเข็มข้นและรุนแรงมากถึงขั้นล้มล้างขับไล่กันจนต้องแสวงหาดินแดนที่อยู่ใหม่แยกออกไปเริ่มต้นสร้างอาณาจักรต้นใหม่ขึ้นมาอีก ความเจริญทางด้านวัตถุได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรีบเร่งจากความจำเป็นเฉพาะหน้าของคนรุ่นใหม่ ๆ เกิดแนวทางทฤษฏีที่สร้างขวัญกำลังใจเพื่อความอยู่รอด ทั้งการต่อสู้กับทั้งธรรมชาติและศัตรูที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน  สภาพแวดล้อมสังคมที่พัฒนาเปลี่ยนไป มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น เกิดรูปธรรมและสมมุติใหม่ เริ่มอธิบายตีความขัดแย้งกันมากตามทำให้เกิดค่ายหรือสำนัก บางสำนักมีผู้นำเป็นที่พึ่งของคนกำลังเดือดร้อน และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนจะกลายเป็นผู้นำธรรมชาติ คำพูดของเขาเหมือนกฏหมายและศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเกรงกลัวยกย่อง คำชี้นำและบอกกล่าวไม่ต้องอธิบายก็เป็นที่ยอมรับกลายเป็นคำสอนของผู้นำซึ่งอ้างแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกิดเป็นลัทธินิกาย แทนศาสนานับแต่นั้นมา

เมืองทองเป็นกลุ่มประเทศในสุวรรณภูมิที่มีความขัดแย้งในสังคมไม่รุนแรง  มีความสงบ  รักษาความสมดุลระหว่างวัตถุกับศีลธรรมให้ควบคู่เท่าเทียมกันดี  แต่กลุ่มประเทศที่มีถิ่นอาศัยอยู่ใจกลางทวีปผืนแผ่นดินใหญ่  วัตถุจะเจริญกว่าศีลธรรม  ทำให้ต่างต้องพึ่งพาอาศัยถ่ายทอดความรู้กันอยู่บ่อย ๆ และบางโอกาศเป็นการมาปกป้องรักษาไม่ให้ศัตรูมารุกรานย่ำยีทำลายได้ เพราะมีโคตรวิญญาณบรรพบุรุษเดียวกันเพียงแยกครอบครัวออกไปหาที่ตั้งบ้านใหม่ การไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายจึงมีอยู่ตลอดเวลาตามระบบของจิตวิญญาณ

2 ความคิดเห็น:

icppremium กล่าวว่า...

http://ainews1.com/article482.html
คำทำนาย ระบุพ.ศ.

icppremium กล่าวว่า...

http://ainews1.com/article482.html