วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พระโพธิสัตว์กลุ่มที่ 3 นักบวช ฤาษีชีไพร


พระโพธิสัตว์กลุ่มที่ 3  นักบวช  ฤาษีชีไพร


บนโลกที่มีผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยพืช    สัตว์ คน ทุกพื้นที่ คนเป็นสัตว์สายพันธุ์หนึ่งของโลกที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาให้มีอวัยที่ละเอียดสลับซับซ้อนเป็นพิเศษโดยเฉพาะ เป็นการรองรับเอาจิตวิญญาณที่มีความจำหรือสัญญาหลังจากได้วนเวียนมาเกิดเป็นทุกอย่างนับไม่ถ้วน

บนผืนแผ่นดินที่มีคนจึงมีความแตกต่างเกิดขึ้น  จะสังเกตุเห็นได้จากความเป็นอยู่ สามารถดัดแปลงธรรมชาตินำเอาแร่ธาตุทั้งในดินบนน้ำมาใช้นอกเหนือจากกินดื่มอย่างเดียว ซึ่งสัตว์ประเภทอื่นทำไม่ได้

แม้จะมีความคิดเหมือนกัน     ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิดก่อน นั่นก็คือจิตใจหรือวิญญาณ    ที่ได้บันทึกเอาความทรงจำเก่าเอาไว้    เมื่อมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ได้รวมตัวกันเป็นสังคม  เป็นชุมชนและบ้านเมือง ความเจริญก้าวหน้าการดัดแปลงเล่นแร่แปลธาตุมาเป็นประโยชน์สร้างความสะดวกสบายเกิดขึ้น    ธรรมชาติได้กำหนดให้มีคละเคล้ากันไป เป็นการจัดสรรสร้างความสมดุลให้มีขึ้น

พ่อมดหมอผี นักพรตนักบุญ นักบวช ฤาษี ชีไพร นักคิดนักวิชาการต่าง ๆ พวกเขาเหล่านี้คือพวกเทวดาพี่เลี้ยง       ที่คอยเกิดมาดูแลและเป็นครูสอนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งที่เคยรู้จักกันมาก่อนและเป็นเพื่อนใหม่ก็มี ทุกคนเคยตั้งสำนัก       เป็นเจ้าของลัทธินิกาย     มีลูกศิษย์คอยเรียนรู้     รับใช้   เผยแพร่  ความคิด ความเชื่อมาด้วยกันทั้งนั้น ถูกบ้างผิดบ้างก็แล้วแต่เหตุปัจจัยในแต่ละครั้งแต่ละชาติ ตำนานเทพพรหม  กำหนดชั้นสวรรค์และนรก ชื่อเรียกเทวดาและหัวหน้า รวมทั้งเจ้าของวิชาศาสตร์วิชาต่าง ๆ ก็ล้วนแต่สืบทอดมาจากพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้นำมา

มีความแตกต่างเฉพาะจากภาษาที่สร้างหรือบัญญัติใช้กันในหมู่เผ่าพันธุ์ของตนเอง       แต่เนื้อหาสาระแล้วสื่อความหมายเหมือนกันหมดhttp://siamdeva.blogspot.com/p/blog-page_18.html

พระโพธิสัตว์กลุ่มที่ 2 นักพรตและนักบุญ

พระโพธิสัตว์กลุ่มที่ 2 นักพรตและนักบุญ 

การติดต่อกับวิญญาณของเหล่าพ่อมด หมอผีเป็นการเชื่อมต่อคลื่นพลังจิตที่มีขนาดความถี่หรือความละเอียดเท่ากัน ผู้ที่ทำต้องมีสมาธิสามารถควบคุมจิตปรับคลื่นหรืออารมณ์ให้เป็นหนึ่งในขณะที่สื่อสารกัน คำพูดหรือภาษาที่ออกมาจากปากของพ่อมดหมอผีจะเป็นได้ทั้งของเขาเองและวิญญาณ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวิญญาณที่ต้องการจะสื่อมากกว่า     ซึ่งจะใช้เวลาไม่มากนักประมาณ 10-20 นาทีเท่านั้น ที่เกินไปกว่านี้จะเป็นคำพูดที่พยายามอธิบายของผู้เป็นร่างทรงหรือพ่อมดหมอผีตามความเข้าใจ เพื่อเป็นไปตามความประสงค์ต้องการของเจ้าของพิธีการ 

บรรดาพ่อมดหมอผีหรือร่างทรงไม่มีความสามารถจะรู้แท้จริงว่าวิญญาณที่มาสื่อสารด้วยนั้นเป็นใคร เป็นเทวดาหรือผีชั้นภพภูมิใด พวกเขาจะบอกว่าอย่างใดหรือเป็นอะไรก็ได้ จิตที่ละเอียดกว่ามีอำนาจเหนือ สามารถแทรกแซงจิตที่หยาบโดยเฉพาะมนุษย์ทุกคน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือผีก็เข้ามาติดต่อผ่านได้ พวกเขาก็อยากจะบอกให้ลูกหลานบริวารญาติมิตรให้รับรู้สภาพของบรรพบุรุษเป็นอย่างไร    และจะต้องทำอะไรหรือปฏิบัติตนเช่นใด     จึงมาอาศัยพ่อมดหมอผีซึ่งเป็นพวกเทวดาพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อช่วยเหลือโดยเฉพาะ   

ความไม่รู้ไม่เข้าใจคือความเพียรที่จะต้องขวนขวายศึกษาหาความรู้เพื่อตอบคำถามตนเองและอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ เป็นลำดับขั้นตอนเรียนรู้จากการปฏิบัติของบรรดาเทวดาในชั้นนี้ที่ลงมาสร้างบารมี 

นักพรต   เป็นเทวดาพระโพธิสัตว์พวกหนึ่งที่พากันบำเพ็ญในป่าเขา   ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ศึกษาหาความรู้ด้านจิตวิญญาณและศาสตร์ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการรักษาโรคด้วยสมุนไพร พวกเขาทั้งหลายเป็นต้นเง้ารากทุก ๆ ศาสตร์วิชาในเวลาต่อมา  และพากันต่อยอดสืบต่อเป็นรุ่นต่อรุ่น  และที่มนุษย์ได้อยู่รวมกันเป็นชุมชน และสังคม  จึงมีการแบ่งงานแบ่งหน้าที่  ปัญหาที่อยู่ทำกิน   ที่ดินอาศัย  และโรคภัยไข้เจ็บ    เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุปัจจัย     ให้เกิดการพัฒนาวิชาการความรู้เพื่อใช้และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น   พวกเขาต่างพากันหมุนเวียนมาเกิด   และทุกครั้งก็จะมาพัฒนาการวิชาการต่อจากของเดิมที่ตนเองได้คิดค้นทิ้งไว้ก่อนตาย คือเป็นหน้าที่ของแต่ละตนที่เริ่มต้นไว้ต้องดำเนินต่อจนจบ ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามคำอธิษฐานแล้วยังเป็นวิถีทางการสร้างบารมีของแต่ละคนด้วย 

ส่วนเส้นทางการสร้างบารมีและเรียนรู้ของพระโพธิสัตว์สายนักบุญ   มักปรากฏเป็นผู้นำ เช่นเป็นผู้นำเผ่า หัวหน้ากลุ่มต่าง ๆ มีบทบาทพาผู้คนต่อสู้  เป็นนักปกครอง  และการทหาร   สร้างบารมีด้วยการสร้างหรือแย่งบ้านชิงเมือง     และรวบรวมผู้คนเป็นสังคม      แบ่งสรรปันส่วน       จัดระเบียบ       สร้างกฏเกณฑ์ มีการนำศาสตร์วิชาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่แย่งได้มา และวิชาที่คิดค้นคว้าเองมาทำให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม    เส้นทางนี้มีทั้งสร้างและทำลาย  ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากจากวิถีทางบำเพ็ญบารมี เป็นผู้ต้องรับผลกรรมในฐานะตัวการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้เป็นความตั้งใจดี        แต่ได้สร้างความพอใจและความเสียใจให้เกิดขึ้น         เส้นทางนี้จึงเป็นมหาวิบากยิ่ง เพราะได้เปิดโอกาสและช่องทางให้นักสร้างบารมีทั้งหลายได้ทำหน้าที่กันทุกคน เป็นการเสียสละอย่างมาก       เป็นเส้นทางของพระมหาโพธิสัตว์ 

ยุคโพธิสัตว์  เป็นช่วงระยะที่มนุษย์มีพัฒนาการมากทุกด้าน ศิลปวิทยาการมีทั้งการเริ่มต้นและถ่ายทอดตลอดจนนำมาปรับใช้ในสังคมมากขึ้น  

ธรรมชาติ สภาพแวดล้อมภูมิประเทศภูมิอากาศ อาหารการกินมีส่วนกำหนดให้มนุษย์มีรูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัย ผิวสีและแม้กระทั่งการสืบพันธุ์ มีความผิดแตกต่างจากที่เริ่มต้นเหมือนกัน ยิ่งนานวันจำนวนผู้คนมากขึ้น    ความคิดก็มากตาม  จากแต่เดิมที่ว่างเปล่า ความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกัน  เป็นแรงผลักดันให้สังคมมนุษย์ได้พัฒนาไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่ทุกอย่างที่มนุษย์ทำขึ้นมา ทุกกรณีเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการในเรื่องความเป็นอยู่ที่สุขสบายทั้งสิ้น 

ธรรมชาติได้จัดสรรให้แต่ละส่วนทั้งหมดในโลกนี้ต้องพึ่งพากัน     ไม่มีความสมบูรณ์หรือพอดี ทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน จะมีปัจจัยรวมกันเมื่อถึงเวลาของมันเองอย่างเป็นขั้นตอน   จนไปสู่การเปลี่ยนแปลง พวกเทวดาโพธิสัตว์มักจะมาทำหน้าที่จัดการแก้ปัญหา   ณ.เวลานั้นเสมอ    เข้าไปจัดการเรื่องใด   จะเป็นการเรียนรู้เรื่องนั้นและได้เพียงเรื่องเดียวในชาติหนึ่ง ๆ   
พวกนี้จึงเป็นเทวดาขยันมาเกิด อายุขัยไม่ยืนยาวเท่ากับพวกอื่น  เมื่อหมดภาระหน้าที่มักจะตายลงหลังจากนี้  ความรู้ความเข้าใจของพวกเขายังไม่เพียงพอ ยังต้องเรียนรู้อีกมาก    ดังนั้นจึงทำให้คำสอนของพระโพธิสัตว์ที่เป็นลัทธิ หรือสำนักนิกายในยุคต่าง ๆ ไม่ถูกต้องสมบูรณ์      เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้รู้มา     จึงต้องลงมาเกิดเพื่อเรียนรู้ให้ถึงที่สุด

พระโพธิสัตว์กลุ่มแรก พวกพ่อมดหมอผี

พระโพธิสัตว์กลุ่มแรก  พวกพ่อมดหมอผี 

ภพภูมิของเทวดาชั้นโพธิสัตว์ หรือพวกที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาจะทะยอยลงมาเกิดเมื่อถึงเวลาอันควร ซึ่งทุกครั้งจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในหมู่หรือชุมชนที่กำลังต้องการพอดี    เป็นการมาทั้งเรียนรู้สะสมประสบการณ์     และช่วยเหลือหรือสร้างบารมีของพวกเขา     ทุกเผ่าพันธ์บนโลกมนุษย์จะมีเวทวดาในกลุ่มนี้ปะปนอยู่ด้วยเสมอตลอดเวลา 
วิถีชิวิตมนุษย์ยุคชาดก ทุกคนมีอิสระเสรีภาพเท่าเทียมกันใช้ชีวิตอย่างเสรีภายในขอบเขตธรรมชาติที่อำนวยให้ โลกให้ความเป็นธรรมแก่ทุกสรรพสัตว์   เปิดโอกาสให้ตักตวง ดื่มกินเสพย์สมกันอย่างเต็มที่จนอิ่มหนำสำราญ แม้ช่วงเวลาจะไม่กำหนดอายุวันเดือนปี แต่ก็มีการตายและการเกิดตลอดเวลา วิญญาณที่ล่องลอยจากร่างไปก็ยังต้องกินหรือเสพย์อยู่เหมือนกัน      ที่แตกต่างออกไป หรือที่เรียกกันว่ากินทิพย์       ซึ่งอย่างไรก็ยังอาศัยคนที่ยังมีชีวิตช่วยจัดการให้
ดังนั้นจะมีแต่บรรดาพวกลูกหลานญาติมิตรที่ผูกพันธ์รู้จักเท่านั้นยอมเสียเวลาดำเนินการ     คนกลุ่มใดที่ชนรุ่นหลังกระทำการตามที่บรรพบุรุษได้เซี่ยมสอนไว้อย่างสม่ำเสมอ   มีผลทำให้พวกเขาเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งและยั่งยืน 
ยุคกาลปลายสมัยชาดก      เริ่มมีสังคมแบ่งเป็นเผ่า    เป็นกลุ่มพวก     มีผู้หัวหน้าทำการสู้รบ    แย่งชิงของรักของหวงกันในระหว่างเผ่า มีความทุกข์   รู้สึกเสียใจในการสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อพ่ายแพ้ และความดีใจของผู้ชนะสลับกันไปมา เริ่มมีการร้องขอความช่วยเหลือจากวิญญาณบรรพบุรษให้ประสบโชคดีพบแต่ความสำเร็จ มีการจัดระเบียบ    สร้างแบบแผนพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพสักการะ ผู้ที่สามารถสื่อสารติดต่อกับจิตวิญญาณจึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญเท่า ๆกับผู้นำหรือหัวหน้าเผ่า ผู้คนให้ความเคารพนับถือเกรงกลัวและได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ 
ความสามารถพิเศษของบุคคลเหล่านี้มีเกิดขึ้นในทุกๆเผ่า มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป     แต่หน้าที่เหมือนกันทุกประการ อย่างที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พวกพ่อมดหมอผี หรือผู้วิเศษและหรือแม้กระทั่งว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าก็มี  แต่ทั้งหมดก็คือพวกเขาเหล่าเทวดาชั้นพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มะรุม พืชมหัศจรรย์

มะรุม พืชมหัศจรรย์

มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :
ฝัก - ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
- แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย
ประโยชน์ของมะรุม1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ
น้ำมันมะรุมสรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น
ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย
ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว
การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
ใบมะรุม 100 กรัม (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้

เอกสารอ้างอิง:
Nature’s Medicine Cabinet by Sanford Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz. WWW.PUBMED.GOV. (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University, Bangkok.
นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550