วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ยุคศิวิไลย์พุทธกาลที่ 1






 
ยุคศิวิไลย์พุทธกาลที่ 1  



 
                  พระธรรมคำสอนของพระเจ้ากกุสันโธได้ อธิบายความเป็นมาของโลกและสรรพชีวิตทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์ที่กำลังประหัตประหารกัน ไขข้อข้องใจ ความหลงเชื่อว่า    เทพเทวดาแต่ละชนเผ่าของพวกตนยิ่งใหญ่      และมีอำนาจสูงสุดสามารถจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนได้รับทุกสิ่งที่ต้องการเพียงภาวนา อ้อนวอนด้วยความศรัทธา และตอบปัญหาทั่วทั้งจักรวาล  พร้อมกับวิธีการตรวจสอบความรู้นั้นได้ด้วยตนเองว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร

เส้นเดินทางของมนุษย์มีวิถีวงจรเป็นวงกลมตามจิตวิญญาณ ที่พาร่างกายและสังขารท่องเที่ยวไปเหมือนไร้จุดหมาย แต่เมื่อได้สักระยะหนึ่งและเพียงครั้งเดียว   ธรรมจะจัดสรรให้พบกับผู้เป็นสรรพภัญญู ตรัสรู้ คือรู้แจ้งเห็นจริงทุกประการ  และบอกมนุษย์ทั้งหลายว่าการเกิดมาของมวลสรรพสัตว์นั้นล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแน่นอน    ทุกอย่างเป็นไปเพราะจิตดวงเดียวทำให้คิด  ทำให้เป็นทุกอย่าง  หยุดที่ความคิดคือหยุดทุกอย่าง  แม้วงโคจรของชีวิตก็ยุติถาวร และเพียงเริ่มต้นจากตัวเราเป็นหลัก   มีใจคิดไปลบล้างสัญญาทั้งหลายในจิตวิญญาณเท่านั้น นอกนั้นเป็นเพียงผู้ช่วย  ซึ่งต้องฟังประธานคือใจของเราซึ่งมีด้วยกันทุกคนเพียงเท่านี้ก็สามารถเห็นความจริงได้หมด   และเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าได้

เมื่อศาสนาได้เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกบนโลก ทำให้สังคมมนุษย์ยุคนั้นยุติความเชื่อและเข้าใจแบบเดิมที่ตกทอดกันมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทุกแห่งหนที่มนุษย์รวมกลุ่มเป็นสังคม มีประเทศต่างก็มีโอกาศรับเอาธรรมคำสอนไปปฏิบัติตาม  และบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์กัน และบรรลุตามลำดับ    เป็นขั้นกลางและขั้นต้น      คอยเป็นระดับชั้นสืบสานต่อให้คนรุ่นหลังเป็นทอด ๆ ไม่ขาดสาย

เพราะธรรมของพระพุทธเจ้ามีความละเอียดลึกซึ้งจะเข้าใจง่ายหรือยากเป็นไปตามระดับความรับรู้ ทุกคนมีสภาวธรรมแตกต่างกัน ไม่สามารถจะสอนให้เข้าใจได้พร้อมกันทีเดียว ความสามารถของผู้ถ่ายทอดและผู้รับฟังก็มีความสำคัญเป็นปัจจัยหนึ่งในการจะเข้าถึงธรรมหรือไม่

ศาสนสถานเช่น วัด วิหาร โบสถ์ ศาลา สถูปเจดีย์ ถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กับศิลปการแสดงเกี่ยวกับประวัติเรื่องราวคำสอน   มีความสวยงามหลากหลายรูปทรง มีแง่มุมทางความคิด     ตามความรู้สึกเข้าใจของนายช่างแต่ละคน    เพื่อสื่อสะท้อนในทิศทางเดียวกัน เป็นกระแสความตื่นตัวของผู้คนหลังจากมีความสงบสุขเกิดขึ้นแล้วในหมู่มวลมนุษย์แทนการคิดค้นสร้างอาวุธคอยประหารกัน กลับมาแข่งขันสรรสร้างผลงานทางความคิด  เป็นวรรณกรรมและศิลปทางวัฒนธรรม  ความเจริญทางด้านวัตถุที่ก้าวล้ำนำหน้าในบางกลุ่มประเทศหยุดชะลอลง กระแสอารมณ์ของผู้คนในแผ่นดินที่มีเพียง 1 ใน 8 ส่วนของโลกเท่านั้น คลั่งใคร้กับความรู้ใหม่จึงทำให้เกิดมี



            -พระธรรมคำสอน ถูกนักปราชญ์ประพันธ์เป็นร้อยแก้วร้อยกรองใช้

                   ร้องยกย่องสรรเสริญพระองค์ที่มีบุญคุณต่อมนุษย์

            -พระธรรมคำสอน ถูกนำมาแต่งเป็นบทสวดมนต์ไว้ท่องเพื่อให้เกิด

            ความทรงจำและเป็นการบันทึกในจิตวิญญาณของมนุษย์อย่างถาวร



ยุคศีลธรรมเฟื่องฟูในสังคมมนุษย์อยู่นานเท่าใดไม่ได้บอกไว้แต่ประมาณว่าหลายชั่วอายุคน    ความอุดมสมบูรณ์อยู่ดีกินดีเกิดขึ้นทุกชนเผ่า      เพราะผู้คนประพฤติดี  ทำดี  แต่ขณะเดียวกันก็เพาะบ่มความอ่อนแอให้เกิดขึ้น   คนรุ่นหลังได้รับความสะดวกสบาย  บรรพบุรุษจัดการทุกอย่างให้จึงขาดแรงจูงใจไม่มีความกระตือรือร้น จนเกิดความประมาทและอวดดีแทน

ศีลธรรมเริ่มเสื่อมถอย จนกระทั่งหมดไปโดยเฉพาะในเผ่าประเทศแหล่งกำเนิดของศาสนา แต่กลับมาเจริญงอกงามและรุ่งเรือง ณ.ดินแดนสุวรรณภูมิแทน ส่วนในอาณาจักภูมิภาคอื่น ชนเผ่าส่วนน้อยด้อยพัฒนาที่เคยถูกเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง เกิดช่องว่างมีโอกาศรวมตัวกัน จนเข้มแข็งสามารถต่อสู้ปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระ บางแห่งมีความเข็มข้นและรุนแรงมากถึงขั้นล้มล้างขับไล่กันจนต้องแสวงหาดินแดนที่อยู่ใหม่แยกออกไปเริ่มต้นสร้างอาณาจักรต้นใหม่ขึ้นมาอีก ความเจริญทางด้านวัตถุได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรีบเร่งจากความจำเป็นเฉพาะหน้าของคนรุ่นใหม่ ๆ เกิดแนวทางทฤษฏีที่สร้างขวัญกำลังใจเพื่อความอยู่รอด ทั้งการต่อสู้กับทั้งธรรมชาติและศัตรูที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน  สภาพแวดล้อมสังคมที่พัฒนาเปลี่ยนไป มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น เกิดรูปธรรมและสมมุติใหม่ เริ่มอธิบายตีความขัดแย้งกันมากตามทำให้เกิดค่ายหรือสำนัก บางสำนักมีผู้นำเป็นที่พึ่งของคนกำลังเดือดร้อน และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนจะกลายเป็นผู้นำธรรมชาติ คำพูดของเขาเหมือนกฏหมายและศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเกรงกลัวยกย่อง คำชี้นำและบอกกล่าวไม่ต้องอธิบายก็เป็นที่ยอมรับกลายเป็นคำสอนของผู้นำซึ่งอ้างแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกิดเป็นลัทธินิกาย แทนศาสนานับแต่นั้นมา

เมืองทองเป็นกลุ่มประเทศในสุวรรณภูมิที่มีความขัดแย้งในสังคมไม่รุนแรง  มีความสงบ  รักษาความสมดุลระหว่างวัตถุกับศีลธรรมให้ควบคู่เท่าเทียมกันดี  แต่กลุ่มประเทศที่มีถิ่นอาศัยอยู่ใจกลางทวีปผืนแผ่นดินใหญ่  วัตถุจะเจริญกว่าศีลธรรม  ทำให้ต่างต้องพึ่งพาอาศัยถ่ายทอดความรู้กันอยู่บ่อย ๆ และบางโอกาศเป็นการมาปกป้องรักษาไม่ให้ศัตรูมารุกรานย่ำยีทำลายได้ เพราะมีโคตรวิญญาณบรรพบุรุษเดียวกันเพียงแยกครอบครัวออกไปหาที่ตั้งบ้านใหม่ การไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายจึงมีอยู่ตลอดเวลาตามระบบของจิตวิญญาณ

ยุคกาลศาสนา







 

ยุคกาลศาสนา

 
พระเจ้ากกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า




เมื่อกาลอายุของมนุษย์ลดลงมาถึง 4 หมื่นปี ผู้คนทำร้ายซึ่งกันและกันมีมากขึ้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ แต่ในความเป็นจริงมีสาเหตุใหญ่สองประการคือ เรื่องการทำมาหากิน และความเชื่อถือในลัทธินิกาย     เผ่าที่มีพลเมืองมากรวมกันเป็นปึกแผ่นเข้มแข็ง   สามารถเป็นนครหรือรัฐบริหารปกครองตนเอง  มีระเบียบวินัยสร้างวัฒนธรรมประเพณี ทำมาค้าขายเปิดความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กันทั้งระดับผู้นำและประชาชน เมืองใดมีพลเมืองมากที่ดินทำกินอุดมสมบูรณ์มีผู้นำที่เข้มแข็งก็ถูกยกให้เป็นประธานหรือประมุขของแคว้น
มีการพัฒนาค้นพบการทำเครื่องมือเครื่องใช้เป็นโลหะเช่น ตะกั่ว เหล็ก ทอง เงิน ทดแทนของเดิมที่เป็นหิน ไม้และเครื่องปั้นดินเผา ต่อมาจึงหลอมรวมเป็นเครื่องมือ ภาชนะเครื่องใช้ประจำวันในการทำมาหากิน และทำเป็นอาวุธทำลายประหัตประหารกันอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการสร้างอักษร  สมมุติเครื่องหมายตัวเลข  ใช้สื่อสารแทนคำพูด เขียนบันทึกข้อตกลง บัญญัติกฏหมายระเบียบข้อบังคับ กำหนดพิธีกรรมบูชาบรรพบุรุษหรือเทพเทวดาประจำเมือง ประเทศและแว่นแคว้น จัดลำดับความสำคัญของจิตวิญญาณเช่นเดียวกับระดับชั้นการปกครองของมนุษย์
บรรดาสิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความเข้าใจผิด หลงทาง สืบคำสอนของบรรพบุรุษที่พยายามจะสื่อให้รู้เริ่มต้นความเป็นมาก่อนจะเป็นมนุษย์  เนื่องด้วยกาลเวลาที่แสนยาวนาน ธรรมชาติได้ครอบงำบดบัง     เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยเฉพาะที่สำคัญคือความรู้สำนึกคิด  มนุษย์มิได้มีเพียงแต่การกินและสืบพันธุ์เท่านั้นอีกแล้ว การอยู่กันเป็นหมู่ใหญ่ ทำให้ต้องมีการจัดระเบียบแบบแผนของสังคม แบ่งงานแยกหน้าที่     เกิดชนชั้น     มีวรรณะและลาภยศ สรรเสริญก็งอกเกิด  และก็ยิ่งทำให้ความบ้าระห่ำ แสวงหาเป็นไปอย่างรุนแรง
มนุษย์ไม่ได้ว่างเว้นจากการทำสงครามล้มล้างกันเพื่ออำนาจ และกลายเป็นกีฬาอย่างหนึ่งของบรรดาผู้นำที่คิดแต่เรื่องเกียรติยศและคำยกย่องสรรเสริญที่จะนำมาทุกอย่างตามต้องการ
นักพรต    ฤาษี    นักบวช    หัวหน้าสำนักลัทธิทั้งหลาย     ต่างนำอภิญญาความรู้เหนือมนุษย์   ไปใช้ในทางที่ไม่ถูก     มีเรื่องลาภยศสรรเสริญมาเกี่ยวข้องเป็นผลจากการฝึกจิตจนเกิดสมาธิและเป็นฌาณระดับต่าง ๆ ของพวกเขา     ที่มีแรงจูงใจเริ่มต้นเพื่อแก้ปัญหาและทางออกของสังคมที่มีแต่ความวุ่นวายเดือดร้อน  โดยเฉพาะกลุ่มพวกผู้พ่ายแพ้ตกเป็นทาสหรือเชลย    ถูกทรมานทุกข์แสนสาหัส ได้แต่เฝ้าอ้อนวอนขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำเมืองช่วยเหลือ  เมื่อความช่วยเหลือสำเร็จก็นำไปสู่การอวดอ้างความสำคัญ ความยิ่งใหญ่เหนือกว่า เก่งกว่า เหยียดหยันเยาะเย้ยเปรียบเทียบ กลับทำให้สังคมมนุษย์แบ่งเป็นกลุ่ม มีความฮึกเหิมหาญกล้า         ทำสงครามมุ่งทำลายกันต่อไปไม่สิ้นสุด
ณ. เวลานั้น  สถานที่ของอาภัสสรเทพพรหมลงมาเกิดเป็นโคตรตระกูลคนไทยคู่แรกที่เป็นนายสรวงนางสางและคู่อื่น ๆ คือ บริเวณจังหวัดเพชรบุรีในเวลานี้  และบรรดาลูกหลานเหลนโหลนได้แพร่ขยายไปสมสู่เสพย์สมกับลูกหลานของต้นมนุษย์ด้วยกันของเหล่าบรรดาอาภัสสรเทพอื่น ๆ อุบัติเกิดทั่วพื้นที่ดินที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ  ตั้งแต่ยุคชาดกจนถึงยุคพระโพธิ์สัตว์  กาลเวลาที่ยาวนานจนนับไม่ถ้วน  ผู้คนที่มีอายุยืนยาวไม่มีวันตาย  ได้แพร่กระจายไปทุกแห่งหนที่มีพื้นดิน  มีการรวมกลุ่มรวมเผ่า  ตั้งบ้านสร้างเมือง  เป็นรัฐ  เป็นนคร  มณฑล ประเทศและแคว้น  จนกระทั่งมนุษย์กำหนดอายุวันตาย  และเหลือยาวนานที่สุดได้  4  หมื่นปี  บางส่วนขึ้นไปทางเหนือเป็นบริเวณประเทศที่เรียกว่าประเทศจีนและบางส่วนไปทางทิศตะวันตกที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน 
ในสมัยนั้นดินแดนที่อยู่ของต้นคนไทย ถูกเรียกว่า  ทอง หรือสุวรรณทวีปเหมือนกัน  เป็นตำนานเล่าขานของพุทธประวัติที่พระพุทธโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อครั้งตรัสรู้ได้ตรัสเล่าให้พระสาลีบุตร  อัครสาวกฟังถึงความเป็นมาในอดีตปฐมกาล   และทรงพยากรณ์ถึงกาลข้างหน้าผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะเป็นใคร  และเคยสร้างบารมีอันใดมาบ้างในสมัยกาลพระพุทธเจ้าองค์ก่อน
จึงรู้ว่าเมืองทองเป็นเมืองหลวง มีพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ์เป็นกษัตริย์ปกครอง  เป็นเจ้าเมืองมีชื่อเดิมว่า พ่อขุนยอดแก้วฟ้าไทยหรือเมืองสรวงเก่านั่นเอง
โสฬสนคร คือ  เมืองที่พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาเป็นองค์ปฐมแห่งภัททกัปป์  เป็นเมืองหนึ่งใน  16  เมืองของแคว้นชมพูทวีปหรือมัชณิมประเทศ ที่ใช้เป็นชื่อเรียกกันในสมัยนั้น
มัชณิมประเทศเป็นศูนย์กลางของความเจริญทุก ๆ ด้าน  มีความหลากหลายของประเพณีวัฒนธรรม  ของชนเผ่ากลุ่มต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก  อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมที่หลายชาติพันธุ์แวะเวียนผ่านมาหาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า  เพราะมีเส้นทางการคมนาคมเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นได้รอบทิศทางสะดวกสบาย  ทำให้สังคมเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติที่สมบูรณ์  มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตเจ้าสำนักลัทธิ  นักพรตนักบวช  มีพ่อค้าที่ร่ำรวยมหาศาลและคนยากจนจำนวนมาก  มีพระมหากษัตริย์ผู้นำเรื่องอำนาจด้วยคุณธรรมและกองทหารที่เข้มแข็ง  เป็นแบบอย่างของสังคมมนุษย์รูปแบบหนึ่งที่ธรรมชาติจัดสรรขึ้นมา  ให้ผู้รู้ได้เห็นและยกเป็นตัวอย่างประกอบเปรียบเทียบระหว่างคนฉลาดที่สุดกับคนโง่ที่สุด  รวยที่สุดกับจนที่สุด  เข้มแข็งที่สุดกับอ่อนแอที่สุด  ซึ่งเป็นความแตกต่างที่กำลังรอการแก้ไขและคำอธิบายมากที่สุด 
พระองค์ทรงเป็นพระโอรสในเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ปกครองเมืองโสพัสมหานคร  และอยู่ครองเรือนก่อนจะเสด็จออกพระราชวังเที่ยวแสวงหาความเป็นไปของมนุษย์และโลก  (มหาภิเนกษกรม)   ได้ศึกษาจากเจ้าสำนักลัทธินิกายต่าง ๆ มากมาย  แต่ไม่มีอาจารย์สำนักใดสามารถตอบคำถามหรือแนะนำได้อีกต่อไป  จึงหลบหนีไปทำความเพียรอยู่เพียงลำพัง  จนในที่สุดก็บรรลุธรรมตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระองค์เอง  หลังจากนั้นเสด็จย้อนกลับไปโปรดเทศนาสั่งสอนบรรดาเจ้าสำนักที่เคยเป็นครูบาอาจารย์   จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อน  จึงได้เสร็จกลับคืนพระมหาโสพัสนครโปรดพระราชบิดามารดาคนในครอบครัวและคนในเชื้อพระวงศ์เป็นลำดับต่อมา
ก่อนที่พระเจ้ากกุสันโธ  จะทรงทอดพระญาณตรวจโลกเพื่อไปโปรดสัตว์โลกทั่วผืนแผ่นดินอยู่นั้น  พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ์แห่งเมืองสรวงหรือเมืองทองทราบข่าวการอุบัติขึ้นของพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้บนโลกมนุษย์แล้วและยังประทับโปรดสัตว์อยู่โสฬสมหานคร  จึงเสด็จเดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้ารับฟังเทศนา  หลังจากจบการแสดงธรรมของพระพุทธองค์ได้บรรลุธรรมระดับหนึ่งจึงตรัสบอกแก่เสนาอำมาต์ว่าท่านจะขอบวชในพระศาสนาไม่ขอเป็นกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว ขอให้กลับไปจัดการ สถาปนารัชทายาทสืบราชสมบัติแทน ต่อจากพระองค์ด้วยพระมหากษัตริย์ของไทย จึงเป็นเอหิภิกขุองค์แรกของโลก คือเป็นพระภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่งวาจาบวชให้ด้วยพระองค์  และเป็นพระรัตนไตรที่สมบูรณ์  คือ มีพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นองค์ประกอบของศาสนานับแต่นั้นเป็นต้นมา
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาตรวจหาบุคคลที่พร้อมด้วยปัญญาบารมีสามารถฟังพระเทศนาธรรมเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถเข้าใจและบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้เลย  พวกเขาเหล่านั้นรวมกันอยู่มีกระจายทั่วทุกประเทศและกำลังพาพวกบริวารศึกษาค้นหาตามแนวทางของตนอยู่  พวกเขาเข้าใจว่าพรหมเป็นที่สิ้นสุด  พากันหลงผิดคิดว่าไม่มีอีกแล้ว  ทำให้ต้องมาวนเวียนกันมาเกิดแล้วเกิดเล่า  หาทางออกไม่พบ  เมื่อได้ฟังการชี้แนะแนวทางจากพระพุทธองค์ก็สามารถจะเข้าถึงนำพาพรรคพวกหลุดพ้นวงจรการเกิดได้อย่างง่ายดาย      เพราะบำเพ็ญความเพียรมามากและเคยถึงระดับนี้หลายครั้งแล้ว แต่ยังติดความสุขแบบโลกอยู่ทำให้มีความลังเลสงสัย
จำนวนผู้คนที่รอคอยการมาโปรดของพระพุทธกกุสันโธอยู่นอกชมพูทวีปก็มีมากเท่า  ๆ กัน  โดยเฉพาะที่เมืองทอง  ลูกหลานของนายสรวงนางสางได้แพร่กระจายล้นหลามไปทั่วพื้นปฐมพี  แตกหน่อเหล่ากอไปผสมร่วมพันธ์กันออกไป  ผิดรูปผิดร่างตามภูมิประเทศ  ต่างอากาศฤดูกาลและอาหารการกิน  มีเผ่ามีกลุ่มเป็นสังคมและประเทศปกครองตนเอง 
การอพยพเคลื่อนย้ายแสวงหาถิ่นทำกินที่อุดมสมบูรณ์ให้เพียงพอต่อสมาชิกพวกพ้องและพลเมือง  เป็นการฝึกฝนให้วิถีชีวิตมีความอดทน  เป็นนักต่อสู้เฉลียวฉลาด  เอาตัวรอด  รู้รักสามัคคีกลมเกลียว  และขยันหมั่นเพียร  ธรรมชาติได้สอนให้พวกเขามีวัฒนาการแสวงหาความรู้ใหม่ตลอดเวลาเพื่อความอยู่ดีและอยู่รอดปลอดภัย  เป็นตัวอย่างกลุ่มเหล่าประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า  แต่ก้าวร้าว  การสู้ต่อระหว่างเมืองหรือรัฐเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม  ทารุณไร้ความปราณี   ทำให้พระโพธิสัตว์ที่ลงมาบำเพ็ญในกลุ่มเผ่าเหล่านี้สร้างความเพียรทางเมตตา  ผู้ที่มีความพร้อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงมีไม่มาก  แต่สามารถปลูกฝังศาสนาได้ 
แตกต่างจากสภาวจิตใจของคนที่อยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย  รักความสงบ  มีความเมตตาปราณีเป็นพื้นฐาน  เรียนรู้วิธีการปกป้องรักษามากกว่าการต่อสู้รุกรบแย่งชิง  รักษาแบบแผนดั้งเดิมได้นาน  สังคมของพวกคนกลุ่มนี้จะมีความหลากหลาย  แต่ไม่มีความแตกต่างมาก  มีการถ่วงดุลย์ระหว่างความเจริญด้านวัตถุและทางจิตใจกันอย่างเป็นธรรมชาติ  การแข่งขันต่อสู้ของกลุ่มเผ่าประเทศเหล่านี้จะไม่รุนแรง  เป็นการแย่งชิงอำนาจ  ผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการและศิลปวิทยาการของกันและกันในกลุ่มกันเองมากกว่าการทำลายล้าง  มีส่วนใหญ่ผู้ที่จะเข้าถึงและสำเร็จธรรมขั้นสูงมีมากในหมู่คนพลเมืองของเผ่าประเทศกลุ่มนี้
พระพุทธเจ้ากกุสันโธเสด็จเผยแผ่ธรรมโปรดสัตว์และปลูกฝังศาสนาของพระองค์ไปทั่วแผ่นดินอย่างทั่วถึง  คำว่านิพพาน คือ สวรรค์ลำดับต่อจากชั้นพรหมที่เข้าใจกันมา  พระพุทธองค์ทรงเมตตาอธิบายทำความกระจ่างให้เกิดขึ้นแก่เจ้าสำนักลัทธิและเหล่าบรรดาสาวกทั้งหลายคลายความยึดมั่นยอมปฏิบัติตามเพื่อพิสูจน์ จนสามารถสัมผัสรู้เองได้เห็นเป็นอย่างที่ทรงตรัสบอก ไม่มีความสงสัยต้องสอบถามใครอีก จึงพากันบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันทั้งหัวหน้าและบริวาร
พวกเขามีอำนาจพลังจิตจากการฝึกสามารถทบทวนย้อนอดีตมาเกิดเป็นอะไร และย้อนหลังก่อนมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน ทุกคนพบว่าเป็นทั้งสัตว์และมนุษย์มาด้วยกันนับชาติภพไม่ถ้วน เสวยสุขบนทิพย์วิมาณ ชั้นพรหมสูงสุดนานเป็นอสงขัยเมื่อหมดบุญต่างพากันตกมาเกิดเป็นมนุษย์พร้อมกันอีก หลงวนเวียนเข้าใจผิดอยู่เช่นนี้ไม่มีทางออก จนกระทั่งได้พบพระพุทธเจ้าชี้แนะบอกทาง
เมืองทองหรือสุวรรณภูมิคือบริเวณพื้นที่ต้นกำเนิดมนุษย์และบรรพบุรุษของทุกคน  ที่ธรรมชาติจัดสรรให้เหล่าเทวดาชั้นพรหมหลงทางมาเกิดรวมกันรอการมาโปรดของพระพุทธเจ้า เพราะพวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่จะบรรลุธรรมได้โดยง่าย จัดได้เป็นกำลังสำคัญช่วยกันเผยแพร่ต่อไปยังดินแดนอื่นไกลออกไป ที่บรรดาลูกหลานต่างอพยพไปตั้งถิ่นฐานบ้านช่องแตกเป็นเผ่าเป็นประเทศ  ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่มีมนุษย์มากหลายชาติพันธุ์จำนวนมาก
เมืองสรวงหรือเมืองทองเป็นนครรัฐต้นบรรพบุรุษไทยที่พระมหากษัตริย์ได้สละราชสมบัติออกบวชเป็นเอหิภิกขุองค์แรกของโลก เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกเที่ยวประกาศเผยแพร่ธรรมได้เลือกเอาภูมิภาคนี้เป็นฐานที่มั่นจัดตั้งองค์กรศาสนามีพระสงฆ์คอยรักษาวินัยเผยแผ่พระธรรมต่อไปหลังจากพระองค์ปรินิพพาน จนจะสิ้นอายุของศาสนา
ชมพูทวีปถูกกำหนดให้เป็นถิ่นอุบัติของพระพุทธเจ้า แต่ไม่สามารถจะอยู่รักษาได้นานเพราะธรรมชิตจัดสรรให้เป็นศูนย์กลางความเจริญทุกด้าน   ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในสังคมรวดเร็ว ศิลปศาสตร์วิทยาจะเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลาเพราะมีการแข่งขันสูง มีผู้คนจากประเทศอื่นไกลเดินทางเข้าออกติดต่อทำมาค้าขายพลุกพล่าน เหมาะสมเป็นสถานที่บ่มเพาะบัณฑิต  และตลาดของนักค้นคว้าประดิษฐ์ผลงานสู่สังคม สภาพเป็นอยู่มีความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่อยครั้ง
ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวโยกย้ายของมนุษย์ทั้งหมดที่ไปมาติดต่อกันแม้จะอยู่ต่างกันห่างไกลแค่ไหนก็ตาม ในช่วงระยะเวลาหนึ่งพวกเขาต้องมีเหตุปัจจัยต้องได้มาถิ่นฐานแผ่นดินที่เคยเกิดของตนเองและของบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิด  มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่มีระบบการทำงานตามความทรงจำที่บันทึกเอาไว้เอง เมื่อถึงเวลาจะเดินไปตามสัญญาหมายมั่นแม้แต่สถานที่ที่เคยกระทำสิ่งใดที่ส่งผลต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็ตามจะต้องได้กลับมาเพื่อการสิ่งนั้นเสมอเช่นเดียวกันhttp://www.rattanakotara.org/dhamma.html